กินยาควรรู้ สองสิ่งที่ไม่ควรกินคู่กัน

269390.

สองสิ่งนี้เมื่อจับคู่กันแล้วอันตรายกว่าที่คิด ข้อมูลจากโรงพยาบาลจุฬารัตน์

1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้ว อ่านเพิ่มเติม

เคล็ดลับการเลือกจักรยานสำหรับผู้หญิง

imagesReview จักรยานสำหรับผู้หญิง (She’s Smart)
โดย ศุภัจรีย์ จันทนา

จักรยานเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ที่มาแรงสำหรับคนยุคนี้ ไม่ใช่แค่มันเป็นเพียงเรื่องความฮิตหรือเห่อ แต่เป็นไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับผู้หญิงยุคใหม่หลายคนที่รักสุขภาพพอ ๆ กับรักโลกใบนี้

แล้วคุณล่ะ? พร้อมจะเปลี่ยนโลกด้วยวิธีการง่าย ๆ นี้หรือยัง

ทุกวันนี้เราเห็นสาว ๆ หลายคนปั่นจักรยานไปทำงาน หิ้วจักรยานขึ้นรถไฟฟ้า ออกทริปกับเพื่อนนักปั่นอยู่เป็นประจำ ถ้าคุณพร้อมจะออกเดินทางไปพร้อมกับพวกเธอ ลองเลือกจักรยานให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคุณซะก่อนค่ะ

1. Mountain Bike

ความโดดเด่น : ใช้ขี่ในทางขรุขระ หรือวิกบา เช่น ทางขึ้นเขา ลาดชัน

รายละเอียด : อุปกรณ์มีให้เลือกและปรับเปลี่ยนได้ เช่น โช้ค ยางล้อใหญ่ ดอกยางยึดเกาะถนนได้ดี ใช้ได้ในทุกพื้นผิวถนน วัสดุหลากหลายตั้งแต่ตัวถังเหล็ก จนถึงคาร์บอนไฟเบอร์

น้ำหนัก : น้ำหนักเฟรมเบา

เกียร์ : เกียร์ 16-28

ความพิเศษ : แฮนด์ตรง เพื่อควบคุมง่าย

จุดเด่น : ไปได้ทุกสถานการณ์

จุดด้อย : อุปกรณ์เสริมราคาแพง

ซ่อมแซม : ซ่อมกับร้านเฉพาะ ควรซ่อมกับร้านที่ซื้อมา

ผู้หญิงแบบไหนที่เหมาะ : รักการผจญภัย ชอบธรรมชาติ ชอบออกกำลังกาย

ราคา : 4,000-50,000 บาท

2. FIX Gear

ความโดดเด่น : สีสันหลากหลาย เพรียว คล่องตัว

รายละเอียด : พัฒนาจากจักรยานปั่นแข่งในลู่

น้ำหนัก : น้ำหนักปานกลาง

เกียร์ : ไม่มีเกียร์

ความพิเศษ : สามารถติดเบรกเพิ่มได้

จุดเด่น : เหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่นท่าทางผาดโผน

จุดด้อย : ขี่ระยะทางไม่ไกล

ซ่อมแซม : ซ่อมกับร้านเฉพาะ ควรซ่อมกับร้านที่ซื้อมา

ผู้หญิงแบบไหนที่เหมาะ : แฟชั่นนิสต้า วัยรุ่นที่ชอบผาดโผน

ราคา : 7,000-20,000 บาท

3. จักรยานพับได้

ความโดดเด่น : ขนาดเล็ก พับได้

รายละเอียด : มีลักษณะพับ 3 แบบ คือ 2 พับ, 3 พับ และ 4 พับ

น้ำหนัก : น้ำหนักเบา

เกียร์ : มีทั้งรุ่นมีเกียร์ และไม่มีเกียร์

ความพิเศษ : ไม่เปลืองเนื้อที่ในการจัดเก็บ

จุดเด่น : สะดวกในการเดินทางในเมือง เช่น ขึ้น BTS, MRT

จุดด้อย : ล้อเล็ก ขี่ทางไกลเหนื่อย

ซ่อมแซม : ซ่อมกับร้านเฉพาะ ควรซ่อมกับร้านที่ซื้อมา

ผู้หญิงแบบไหนที่เหมาะ : สาวเมือง ปั่นไปทำงานแบบชิล ๆ

ราคา : 15,000-30,000 บาท

4. จักรยานเสือหมอบ

ความโดดเด่น : ปั่นทำเวลา หรือเดินทางไกลได้

รายละเอียด : มักใช้ในการแข่งขัน ขี่ทางเรียบ หรือถนนคอนกรีต ตัวถังเล็ก เพรียวลม ยางรถผอม

น้ำหนัก : น้ำหนักเบามาก

เกียร์ : เกียร์ 5-14

ความพิเศษ : แฮนด์โค้ง คนขี่สามารถก้มตัวลง เพื่อลดแรงดันของอากาศ

จุดเด่น : สามารถติดตั้งอุปกรณ์ หรือที่วางสัมภาระได้

จุดด้อย : ไม่มีขาตั้ง และบังโคลน

ซ่อมแซม : ซ่อมกับร้านเฉพาะ ควรซ่อมกับร้านที่ซื้อมา

ผู้หญิงแบบไหนที่เหมาะ : ชื่นชอบความเร็ว ขี่ไปต่างจังหวัดไกล ๆ

ราคา : 12,000-หลักแสนบาท

5. จักรยานทั่วไป

ความโดดเด่น : ทนทาน ไม่ต้องเติมแต่ง

รายละเอียด : อุปกรณ์ครบ มาพร้อมจักรยาน เช่น บังโคลน ไฟหน้า ขาตั้ง บังโซ่ อานซ้อนท้ายและตะกร้าจ่ายกับข้าว

น้ำหนัก : น้ำหนักมาก

เกียร์ : ไม่มีเกียร์

ความพิเศษ : หาซื้อและซ่อมง่าย

จุดเด่น : ไม่ต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่ม

จุดด้อย : ออกแรงปั่นเยอะ น่องโป่ง

ซ่อมแซม : ร้านซ่อมทั่วไป

ผู้หญิงแบบไหนที่เหมาะ : ใช้ขี่ไปซื้อของใกล้ ๆ บ้าน หรือกลุ่มแม่บ้าน

ราคา : 1,500-3,000 บาท

เงื่อนไขในการเลือกจักรยานของคุณ

Simplicity ใช้ง่าย เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณเอง

Affordabillity ราคาที่คุณสามารถซื้อได้ และอย่าลืมเผื่อเงินไว้ซื้ออุปกรณ์เสริมและการซ่อมแซมด้วย

Easy to maintenance การซ่อมแซมและบำรุงรักษาเป็นสิ่งจำเป็น ควรศึกษาถึงบริการ และการดูแลจักรยานหลังการขายด้วย

สำรวจตัวเองก่อนว่า ปั่นเพื่อ…แล้วจึงเลือกจักรยานที่เหมาะ

สุขภาพ

ท่องเที่ยว

เดินทางไกล

พักผ่อน

ไปทำงาน เดินทางไม่ไกล

ไปจ่ายตลาด

เรื่องต้องรู้สำหรับนักปั่นหญิง

ระวังมิจฉาชีพ ไม่ปั่นเช้าหรือดึกเกินไป

เลือกเส้นทางประจำ คุ้นเคย

เตรียมร่างกายให้แข็งแรง พกยาดม ยาหม่องติดตัวบ้าง

ศึกษาการซ่อมเองบ้าง

อุปกรณ์เซฟตี้ควรมี เช่น หมวกกันน็อค ถุงมือ รองเท้าสำหรับขี่จักยาน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

แนะเต้นแอโรบิก…ช่วยสุขภาพดี

เชื่อว่าสาวๆ หลายคนคงเคยสนุกกับการไปออกกำลังกายตอนเย็น ด้วยการเต้นแอโรบิก ตามสวนสาธารณะ แต่ว่านะการเต้นแอโรบิกนอกจากจะช่วยเผาผลาญไขมัน ลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วนแล้ว คุณรู้ไหมว่า มันยังช่วยอะไรกับเราอีก..ยังช่วยให้ตัวเราได้เข้าสังคมควบคู่กันไปด้วย อ่านเพิ่มเติม

ข้อดี ของการบริจาคโลหิต

1. อันดับแรกเลยคือ เป็นทาน ครับ ถือว่าสำคัญมาก คือ เราได้สละเลือดของตัวเอง เพื่อนำไปช่วยชีวิตของผู้อื่น บางครั้งเลือดของเรา อาจจะทำคนนั้นรอดตายเลยก็ได้ จึงถือได้ว่าบริจาคเลือด เป็นทานที่ยิ่งใหญ่มากครับ 2. อันดับต่อมานะครับ คือ สุขภาพของเรา บริจาคเลือกนั้นเป็นผลดีต่อสุขภาพเรามากครับ มีการทำวิจัยหลายอย่างนะครับ แต่จากที่ผมได้ลองอ่านมา กับที่รู้ จะขอชี้แจงเป็นข้อๆ นะครับ  
 2.1) ห่างไกลจากโรคมะเร็งครับ นี้มีการวิจัยแล้วครับ ยิ่งบริจาคมาก โอกาศเกิดยิ่งน้อยลงครับ   2.2) สำหรับผู้ชาย ลดโอกาศเสี่ยงจากโรคเนื้อหัวใจตาบเฉียบพลันได้ครับ ซึ่งโรคนี้จะเกิดจากที่ร่างกายเรามีธาตุเหล็ก(จะอยู่ในเลือดครับ) มีมากเกินไปการบริจาคเลือดจึงจะลดโอกาสเกิดได้ครับ ข้อนี้ก็มีงานวิจัยครับ  
 2.3) กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเหมือนการออกกำลังกายให้กับไขกระดูกได้ทำงานดีขึ้น   2.4) นี้จากที่ผมได้ฟังจากคนอื่นมานะครับ การบริจาคเลือดนั้น จะทำให้ลดโอกาศเสี่ยงที่จะเป็นโรคเลือดเสีย(ที่คันตามตัวอะครับ บางคนคันทั้งตัว) เพราะจะได้มีการสร้างเลือดใหม่ออกมาเรื่อยๆครับ
  2.5) นี้ก็ฟังมาอีกทีครับ เห็นว่าจะช่วยทำให้หน้าใส กับผิวขาวครับ ไม่ถึงกับว่าขาว หรือใสมากนะครับ เห็นว่าจะ การบริจาคเลือด นั้นทำให้ร่างกายได้สร้างเม็ดเลือดใหม่ รวมถึงการสร้างเมลานิน(เม็ดเลือดที่เกี่ยวกับผิวหนังครับ)ใหม่ครับ   2.6) การบริจาคเลือดนั้น จะทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดใหม่ รวมถึงทั้งเม็ดเลือดขาว กับ เกล็ดเลือด ฯลฯ ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานขึ้น ซ่อมแซมร่างกาย และทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีขึ้นครับ
3. อันดับรองสุดท้ายครับ ข้อนี้ผมก็อาจจะถือได้เลยครับ ว่าเป็นประโยชนมากครับ คือ  
3.1) ผู้บริจาคโลหิต ตั้งแต่ 7 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ ช่วยเหลือค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษได้
ไม่เกินร้อยละ 50  
3.2) ผู้บริจาคโลหิต ตั้งแต่ 16 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล + ค่าห้องพิเศษและค่าอหาร ได้ร้อยละ 50  
3.3) ผู้บริจาคโลหิต ตั้งแต่ 24 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล 100% + ค่าห้องพิเศษและค่าอาหาร ได้ร้อยละ 50  
3.4) ผู้บริจาคโลหิต ตั้งแต่ 100 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ ” ขอพระราชทานเพลิงศพ ” ได้เป็นกรณีพิเศษ เฉพาะผู้บริจาคโลหิตเท่านั้น ไม่สามารถโอนสิทธิ์ให้ผู้อื่นได้ ครับ ซึ่งถือว่าดีมากครับ ยิ่งเมื่อครบ 24 ครั้ง ค่ารักษาในโรงพยาบาล(ของรัฐนะครับ)แทบจะไม่ต้องจ่ายเลยครับ เป้นหลักประกันในอนาคตได้ดีมากครับ 4. ข้อนี้อันดับสุดท้ายครับ แต่สำหรับผมถือว่าเป็นข้อที่สำคัญที่สุดสำหรับผมเลยครับ ซึ่งจากที่ได้ฟังจากพี่สาวมา บอกว่าถ้าเมื่อเราบริจาคเลือดครบ 50 ครั้ง หรือ 40 ครั้งไม่แน่ใจนะครับ จะได้เข้าเฝ้าพระเทพ เพื่อรับเหรียญพระราชทาน จากมือพระองค์ท่านโดยตรงครับ
ซึ่งถือว่าบุญชีวิตมากครับ เป็นเกียรติอันสูงสุดในชีวิต และเป้นมงคลของชีวิตที่คนธรรมดาอย่างผมจะได้เลยครับ ของพี่สามผม 39ครั้งแล้วครับ
ก็ขอเชิญชวนต่อผู้มีจิตศรัทธา ทุกท่านนะครับ ได้มาร่วมบริจาคดลหิต เพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้อื่น เพื่อช่วยเหลือชีวิตตนเอง กันครับ ถึงแม้จะหมดงานกาชาดไปแล้ว ทุกท่านสามารถทำได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือ บู๊ทที่เค้ารับบริจาคโลหิต กันครับ อ้อ ก็ขอบอกกับทุกท่านก่อนนะครับ การบริจาคโลหิตนั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี หรือสมบูรณ์ หรือได้ปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนบริจาคเลือด แทบจะไม่มีอาการเพลียหลังบริจาคเลือดเสร็จเลยครับ ของผมนี้สมบูรณ์หน่อย อายุ 17ปี น้ำหนัก80โล สมบุรณ์ไปหน่อย จึงไม่มีอาการเพลียแม้แต่น้อยเลย และก้ขอบอกต่อทุกท่านเลยนะครับ ไม่มีอาการเจ็บแม้แต่น้อยเลยครับ ถึงเจ็บก็นิดเดียวครับ นางพยาบาลก็ใจดีมากครับ อย่าไปกลัวนะครับ การบริจาคเลือด ต้องไปลองดูเองครับ อย่ามัวแต่ไปฟังคนอื่น ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ ขอบคุณครับ ป.ล. คำแนะนำบางอันนี้เรื่องจริง ไม่จริงผมก็ไม่ทราบแน่ชัดนะครับ แต่ก็ขอให้คิดถึงเป็นอนดับแรกเลยนะครับ ว่าเราทำเพื่อช่วยคนอื่น ให้เค้ามีชิวิตรอดต่อไปได้นะครับ
__________________

มหากุศลครั้งใหญ่วิหารทานมากมาย ในบุญเดียว


ที่มาจาก :http://palungjit.com/

ฯ ๗๑

ข้อควรรู้เรื่องการนอน

เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าวิธีพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะหลับสบายยามหัวถึงหมอน หรือหลับได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ การนอนสำคัญและเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ มากกว่าที่คุณคิด ถ้าคุณมีอาการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือง่วงหลับประจำตอนกลางวัน สาเหตุใดที่เป็นปัญหาที่กวนใจแท้จริง และปัญหาใดเป็นความเชื่อผิดๆ กันแน่
ความเชื่อ : ขณะนอนหลับพักผ่อน ร่างกายกับสมองจะหยุดพักไปด้วย

ข้อเท็จจริง : ในขณะหลับร่างกายจะหยุดพักผ่อนตามไปด้วย แต่สมองยังคงทำงานอยู่ การนอนหลับเป็นการลดภาระให้สมองทำงานเบาลง เสมือนว่าได้รับการชาร์ตแบตเตอรี่เพื่อเตรียมพร้อมทำงานในวันต่อไป แต่ก็ยังคงต้องควบคุมการทำงานอวัยวะต่างๆ ของ ร่างกายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระบบหายใจ ระบบประสาท ฯลฯ
ความเชื่อ : ผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องนอนมาก

ข้อเท็จจริง : ไม่จริง ผู้สูงอายุต้องการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เช่นเดียวกับคนวัยหนุ่มสาวทั่วไป ทั้งนี้อายุที่มากขึ้น ประกอบกับการทำงานของอวัยวะในร่างกายเริ่มเสื่อมไปตามเวลา ทำให้กิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลทำให้พฤติกรรมการนอนไม่เหมือนเดิม นอนหลับได้น้อยชั่วโมงลง หรือหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน แต่ไม่ว่านอนหลับได้ไม่เต็มอิ่มอย่างไร ร่างกายก็ยังคงต้องการเวลาพักผ่อนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง

ความเชื่อ : การนอนหลับพักผ่อนน้อยเป็นประจำ ร่างกายจะชินและไม่ต้องการนอนมากอย่างที่เคย

ข้อเท็จจริง : ไม่จริง เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการนอนว่า ในวัยผู้ใหญ่หากนอนให้ได้ประมาณ 7-9 ชั่วโมงทุกวัน จะส่งผลให้สุขภาพร่างกายโดยรวมดีอย่างน่าทึ่ง หากวันไหนนอนหลับได้ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะชดเชยชั่วโมงนอนที่ขาดรวมกับชั่วโมงนอนในอีก 2-3 คืนถัดไป ไม่ว่าเราจะนอนน้อยเป็นประจำหรืออดนอนเป็นประจำแค่ไหน ร่างกายไม่มีวันชินหรือยอมรับให้นอนน้อยได้ตลอด เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติการพักผ่อนที่ร่างกายต้องการ
ความเชื่อ : ง่วงหาวตอนกลางวันแสดงว่านอนไม่พอ

ข้อเท็จจริง : จริง สาเหตุของอาการง่วงหาวตอนกลางวันอาจมีส่วนหนึ่งมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่ก็อาจเกิดกับคนที่นอนหลับเต็มอิ่มได้ด้วย และถ้าง่วงผิดสังเกตอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีเรื่องสุขภาพอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้ร่างกายขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จำเป็นต้องไปปรึกษาแพทย์ต่อไป
ความเชื่อ : นอนน้อยมีผลต่อน้ำหนัก

ข้อเท็จจริง : จริง หากนอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเลปตินและเกรลิน ส่งผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ฮอร์โมนทั้ง 2 ทำหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมและสร้างสมดุลความต้องการอาหาร ฮอร์โมนเกรลินถูกผลิตขึ้นในระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่กระตุ้นความอยากอาหาร ในขณะที่เลปตินถูกผลิตในเซลล์ไขมัน ทำหน้าที่ส่งสัญญาณรับรู้ว่าอิ่มไปยังสมอง เมื่อได้รับอาหารพอดีกับความต้องการ ดังนั้นหากนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลทำให้ระดับเลปตินต่ำลง ร่างกายไม่รู้สึกอิ่มอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้ามฮอร์โมนเกรลินจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายรับประทานอาหารเกินพอดี น้ำหนักก็เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เป็นการสร้างเสริมสุขภาพร่างกายที่ดีที่สุด

แหล่งความรู้ที่มาจาก:http://www.baanjomyut.com/

โยเกิร์ต อาหารสุขภาพ

คุณประโยชน์จากโยเกิร์ต

  1. โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม เคซีน ซี่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและ โปรตีนเคซีน
  2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ กรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกายเช่น เชื้อซัลโมเนลา (Salmonella typhidie) อี โคไล ( E. Coli) โคลินแบคทีเรีย( Corynebacteria diphtheriae) ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราควรจะรับประทานโยเกิร์ตอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้
  3. เป็นแหล่งวิตามิน บี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังช่วยสังเคราะห์วิตามิน บีและวิตามิน เค ในลำไส้
  4. ช่วยรักษาโรค ท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะ จากการวิจัยพบว่าผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้รับประทานโยเกิร์ต
  5. ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น
  6. เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตจะมีโปรตีนมากกว่าในนม 20% และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใด้ด
  7. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ แลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
  8. ช่วยป้องกันมะเร็ง แลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง สามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารในเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้
การใช้นมเปรี้ยวรักษาโรคท้องร่วง ในต่างประเทศมีการใช้นมเปรี้ยว (โยเกิร์ต) รักษาโรคท้องร่วงบ้างแล้ว เช่น การใช้รักษาโรคท้องร่วงในเด็กแต่ลักษณะการใช้เป็นการช่วยเสริมในการรักษา และใช้เฉพาะในกรณีที่มีสาเหตุจากเชื้อโรคธรรมดา ไม่ใช่โรคที่มีการระบาดอย่างรุนแรง ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ยารักษาโดยเฉพาะ สำหรับในลูกสุกรนั้น พบว่าประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ของโรคท้องเสีย มีสาเหตุมาจากเชื้อโรคที่มีอยู่แล้วในฟาร์ม คือ เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ ที่มีอยู่ในทางเดินอาหารของร่างกาย เมื่อเชื้อเหล่านี้มีปริมาณมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อโรคอื่น ๆ จะทำให้เกิดการเสียสมดุล จึงทำให้เกิดอาการท้องเสียเกิดขึ้น ซึ่งหลักการในการรักษาคือ การเติมเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เพิ่มเข้าไปปรับให้เกิดความสมดุล จึงทำให้โอกาสเกิดท้องร่วงลดลงได้
สำหรับในนมเปรี้ยว (โยเกิร์ต) มีเชื้อจุลินทรีย์ที่ทราบกันดีคือ เชื้อ Lactobacillus หรือ อาจมีเชื้อชนิดอื่น ๆ ที่บริษัทนั้น ๆ ได้ผลิตขึ้นมา แต่เชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ผลิตนมเปรี้ยวในครั้งนี้ คือ Lactobacillus bulgaricus ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร มีลักษณะคล้ายกับนมเปรี้ยวที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป ต่างกันที่เป็นชนิดรสธรรมชาติ ไม่ต้องผสมผลไม้ หรือธัญพืชอื่น ๆ และไม่พร่องมันเนย รวมทั้งแต่ต้องเป็นนมเปรี้ยวที่ยังมีอายุการใช้งานได้อยู่ ยังไม่หมดอายุ หากมีจำนวนสุกรไม่มากก็สามารถนำไปใช้ได้ทันที(โปรดติดตามตอนต่อไป)
จุลินทรีย์ในโยเกิร์ต (Microbiology of natural yogurt)
หัวเชื้อเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการผลิตโยเกริ์ต ลักษณะที่ต้องการของหัวเชื้อโยเกิร์ตคือ ปลอดจากการปนเปื้อน เจริญได้ดีในส่วนผสมของนมที่ใช้เตรียมโยเกิร์ต ให้กลิ่นรสที่ต้องการ โครงสร้างลักษณะเนื้อดี และต้านทานต่อการเกิด phages และสารปฏิชีวนะ ในการสร้างกลิ่นรส (Flavor) และลักษณะของเนื้อสัมผัส (texure) ต้องใช้หัวเชื้อผสมของ Lactobacillus bulgaricus และเชื้อ Streptococcus thermophilus โดยทั่วไปจะใช้หัวเชื้อทั้งสองชนิดในอัตราส่วนที่เท่ากัน
  • เชื้อ Streptococcus เป็นจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิด diacetyl และสารประกอบที่คล้ายกันซึ่งมีผลต่อกลิ่นรสของครีมเนย (creamy/buttery) ในผลิตภัณฑ์สุดท้าย
  • เชื้อ Streptococci นี้จะช่วยกำจัดออกซิเจนออกจากนมซึ่งถ้าหากเหลืออยู่อาจก่อให้เกิดไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ การเจริญจะดำเนินต่อไปจนกระทั่งความเป็นกรดถึง pH 5.5 จะมีสารอาหารที่เหมาะสม สำหรับการเจริญของเชื้อ Lactobacilli ต่อไป
  • เชื้อ Lactobacillus bulgaricus มีอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญที่ 45 องศาเซลเซียส และยังให้ปริมาณกรดแลคติคที่มากพอที่จะสร้าง acetaldehyde ซึ่งให้กลิ่นรสเฉพาะของโยเกิร์ตได้ ในกรณีของโยเกิร์ตที่มีกลิ่นรสดีมากจะมีปริมาณ acetaldehyde อยู่ 23-41 ppm คิดเป็นสัดส่วนของสารประกอบที่ให้กลิ่น (volatile flavour compound) ถึง 90 % นอกจากนี้แล้วเชื้อ Lactobacilli จะปล่อยกรดอมิโนบางตัวที่มีผลต่อการเจริญของเชื้อ Streptococci อีกด้วย

แหล่งความรู้ที่มาจาก:http://www.baanjomyut.com/

ธรรมชาติบำบัด

  1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อมกับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง
  2. แพ้ละออง ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
  3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนัง หลอดเลือด
  4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้งเป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอน หลับฝันดี
  5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
  6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ (ปลากระป๋อง) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง
  7. ท้องผูก ท้องอืด กินกล้วย หรือขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก ขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้า หายไป
  8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว) กรดเข้ม ข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้
  9. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะผู้หญิงสูงอายุ กินข้าวโพดช่วยบรรเทา อาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้
  10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย กินสับปะรด ซึ่งมีสาร แมงกานีสมาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
  11. ความจำเสื่อม กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่นๆ ซึ่งในเนื้อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี
  12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
  13. ไอ จาม กินพริกแดง (สารที่ทำยาแก้ไอ สกัดจากพริกแดง) รำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิง เอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญ อย่ากินไก่มาก พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวัน นอกจากจะอิ่มท้องแล้ว ยังช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกาย ช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยชนิดต่างๆได้ พืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่น อันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานไทย
  14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี
  15. มะเร็งปอด กินส้ม และผักใบเขียว มีวิตามินเออยู่มาก จะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
  16. แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะ อาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้
  17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก
  18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด
  19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่าย
  20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร

แหล่งความรู้ที่มาจาก:http://www.baanjomyut.com/

การดื่มน้ำให้ได้สุขภาพ

มีวิธีง่ายนำมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้ สำหรับน้ำที่ดื่ม ไม่ควรเย็นจี๋ เพราะทำให้เส้นเลือดที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารหดตัวลง หากเป็นเช่นนั้นเซลล์จะปรับตัวและขยายตัวเพื่อดูดซึม ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการปรับอุณหภูมิก่อนดูดซึม จึงมักเกิดอาการจุกหน้าอกขณะกระหายน้ำ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย ชี้ว่า อ่านเพิ่มเติม

วิธีการถนอมสายตาเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์

 
วิธีการถนอมสายตาเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์
 
1.  ควรเลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา วิธีทดสอบง่ายๆ ทำได้โดยลองปิดสวิตช์จอภาพ แล้วเอามือหรือแขนไปจ่อไว้ใกล้ๆ จอภาพให้มากที่สุด จอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่ผิว อ่านเพิ่มเติม